ความมืดปกคลุมอยู่ทั่วทั้งฟ้า  ณ ช่วงเวลาสี่ทุ่มกว่าภายในห้องน้ำของโรงยิม  ขณะนี้เหลือเพียงเขาคนเดียว
    ชายหนุ่มนั่งยองๆ กางขาคร่อมระหว่างหลุมคอห่าน  สีหน้าของเขาเคร่งเครียด อึดอัดและหวาดเกรง
    ด้วยเครื่องแต่งกายของเขาทำให้ท่านั่งดูขัดเขินไม่ถนัดนัก เพราะเจ้ารองเท้ากีฬาหุ้มข้อคู่โตอย่างที่เห็นใช้กันใน NBA  เขาสวมมันไว้อย่างเทอะทะขณะที่กางเกงกีฬาขาสั้นรูดค้างเอาไว้ตรงหัวเข่า
    ชายผู้มีทีท่าว่าตกระกำลำบากผู้นี้ชื่อว่า”เอม”  เอมของเพื่อนๆ
    ใบหน้าอันหล่อเหลาขาวใส ตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่แตกพลั่ก เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นหน้าผาก  ริมฝีปากบนตรงไรหนวด  สองแก้มขาวๆของเขาก็อาบเหงื่อเช่นกัน เพราะอากาศในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆเหมือนรูหนูอุดอู้ห้องนี้มันอบอ้าว.....ห้องส้วมของโรงยิม
    เอมยกแขนขึ้นมองดูนาฬิกาทรงสปอร์ตอินเทรนด์ที่รัดอยู่บนข้อมือซ้าย “จะสี่ทุ่มครึ่งแล้วหรือว่ะ”  เขาอุทาน   
    สำหรับเขาไม่ว่าการศึกสงครามที่เคยเกิดขึ้นบนโลกนี้ครั้งไหนก็ตามไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกที่ใหญ่โตสูญเสียมหาศาล  มันก็ไม่สำคัญเท่ากับศึกครั้งนี้ที่เขากำลังเผชิญอยู่อย่างหวาดกลัว  ทุกวินาทีนั้นสุ่มเสี่ยง   
    เอมกับเพื่อนๆจะมาเล่นบาสที่โรงยิมแห่งนี้เป็นประจำและชอบนัดกันตอนกลางคืน  โรงยิมแห่งนี้เปิดให้เช่าเวลาเล่นตั้งแต่เช้าถึงดึกแต่พวกเขาก็ชอบจองเวลาคิวสุดท้ายทุกครั้งที่เล่น  แต่วันนี้ก๋วยเตี๋ยวเรือก้นหม้อเจ้ากรรมทำร้ายเขาเสียได้เพราะตอนเย็นๆก่อนที่เขาจะมาที่โรงยิม ก็ได้หาอะไรกิน  พอดีเจอร้านก๋วยเตี๋ยวเรือจึงตัดสินใจเข้าไปสั่งแต่พอเขาเข้าไปก็พบว่าของที่มีมันเหลือน้อยแล้ว    แต่เอมก็ยังคงยืนยันจะกินเรียกได้ว่าเขาเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของร้านเลยก็ว่าได้  เอมนั่งซดก๋วยเตี๋ยวเรือก้นหม้อซะสะเด็ดลิ้นไปหลายชาม  แต่ละชามก็ปรุงซะแม่ค้าทำตาค้อน  พริกสามสี่ช้อน น้ำตาล น้ำปลาใส่อย่างกับทำหก น้ำส้มก็ตักเทโจ้กๆๆๆๆ  แม่ค้าถึงกับยืนบิดเพราะแสบก้นแทน 
      ตอนที่เขากำลังวิ่งเล่นบาสอยู่นั้น  ก็เริ่มรู้สึกตะหงิดๆแต่ก็ยังคงรับมือปิดด่านกั้นไว้ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย  แต่พอสี่ทุ่มถึงเวลาที่เลิกเล่นเพราะโรงยิมแห่งนี้ปิดสี่ทุ่ม  พวกเพื่อนก็แยกย้ายกันไปห้วงเวลานั้นเอง เขื่อนก็เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นปัญหานี้ถูกแซงคิวขึ้นมามีความสำคัญทันใด  เขารู้ตัวว่าอดทนกลั้นไปถึงบ้านคงไม่ไหว  ป่านนั้นเขื่อนคงแตกและน้ำป่าคงไหลทะลักพาท่อนซุงบุกทำลายพื้นที่ไปเสียแล้ว  ปุ๊ด!!!! วินาทีนั้นเองเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นเหมือนเสียงปืนของกรรมการควบคุมการวิ่งแข่ง ที่บ่งบอกว่าให้วิ่งหลังจากที่แน่นิ่งอดทนอยู่ที่จุดสตาร์ทอย่างกดดัน    เอมจึงรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตด้วยความเร็วที่สามารถเป็นตัวเต็งเหรียญทองโอลิมปิก  เส้นชัยของเขาก็คือประตูห้องส้วมห้องแรกของห้องน้ำโรงยิม
    ปุ....ปุ.......ปู๊ด.....ป๊าด.....เป็นจังหวะจะโคนก่อนที่จะไร้สำเนียง  ปู๊ด ปุ ป๊าดๆๆๆๆๆๆๆ  สงครามเริ่มแล้วและนี่คือห่าฝนของพลุสัญญาณที่ส่งเสียงก้องดังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมบุกระเบื้องสีขาวกว้างขนาดคนกางแขนไม่สุด
    แสงไฟสีขาวนวล  สลัวๆแต่ไร้ซึ่งความโรแมนติก  มันออกจะดูเหมาะกับฉากฆาตกรรมโหดของหนังฝรั่งเสียมากกว่าเพราะริมผนังทุกด้านมีแต่ข้อความอันหยาบคาย และอวดศักดาว่าข้ามาเยือน  ข้าเป็นพ่อใคร อะไรประมาณนี้เต็มไปหมด ช่างเป็นผนังแห่งศิลปะที่ไร้รสนิยม  กระนั้นก็เถอะเขาไม่มีกระจิตกระใจจะมาอ่านข้อความมีสาระแต่ไร้ประโยชน์พวกนี้  เพราะจิตใจของเขานั้นกำลังจดจ่ออยู่ที่การปั่นป่วนของลำไส้ และสัตว์ประหลาดร้ายที่มันกำลังลำเลียงบุกมาทางหลุมดำ
    เขามองดูนาฬิกาอีกที “สี่ทุ่มสามสิบห้านาที” ใจของเอมมีความหวาดวิตกมากยิ่งขึ้น  หัวใจของเขาเต้นตุบและระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ    ในนาทีเดียวกันที่เขากำลังลุ้นระทึก  ภายนอกฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างแรง    ทำให้ความเงียบหายไปกลายเป็นเสียงอื้ออึงของเม็ดฝนจำนวนมหาศาลที่พากันตะโกน      สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ก็เพราะว่าสิ่งที่เขากำลังตื่นเต้นอยู่นั้นก็คือ  เวลาที่เจ้าหน้าที่ของโรงยิมจะเข้ามาปิดไฟปิดประตู
    เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียจริงๆเมื่อสิ่งที่เขาระแวงอยู่นั้นก็เกิดขึ้น  ไฟสีขาวนวลของห้องน้ำได้ดับลงไปต่อหน้าต่อตา 
“ห้องน้ำมีคนอยู่!!!!  พี่ครับอย่าเพิ่งปิดไฟ!!!!  ห้องน้ำยังมีคนอยู่ครับ!!!  พี่!!!!  ห้องน้ำยังมีคนอยู่โว้ย!!!! ไม่ได้ยินหรือไงว่ะว่ามีคนอยู่!!!!  เฮ้ย!!!!!!”  เอมตะโกนอย่างสุดเสียงแต่ก็ไร้วี่แววของการหวนกลับมาของเจ้าหน้าที่  เพราะเสียงของเขาโดนเสียงฝนและฟ้าร้องกลบไปจนหมด  ซึ่งเหมือนกับเปิดเสียงวิทยุทรานซิสเตอร์แข่งกับลำโพงงานวัด 
    ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด พอจะมีแสงให้เห็นได้บ้างก็ทางกระจกช่องแสงของห้องส้วมที่เวลาฟ้าฝ่าจะมีแสงวูบวาบแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเห็น เป้าหมายของคอห่านในการที่จะเล็งหย่อนข้าศึกได้ชัดเจนนัก  เขากลัวว่ามันจะหลุดวิถี   
    เอมยังคงหย่อนศัตรูลงรูอย่างระมัดระวังและพิถีพิถัน    และข้าศึกเองก็ยังคงบุกมาอย่างไม่เรียงคิวหรือจัดระเบียบ มันต่างก็พากันเบียดเสียดจะออกมากันเสียให้ได้อย่างทุรนทุราย  และยากยิ่งนักที่เขาจะมีกำลังต้านทานมันได้    อาการท้องเสียอย่างหนักหน่วงมันไม่น่ามาเกิดกับเขาแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ สถานที่นี้เลย 
    ไม่เพียงเท่านั้นที่เอมต้องเผชิญในความมืดและอาการท้องเสียของเขา  ทุกอย่างเป็นไปอย่างทุลักทุเลพลันนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ 
    แสงสว่างสีเขียวทำให้ภายในห้องส้วม สว่างขึ้นมาจนทำให้เขาสามารถที่จะมองอะไรต่ออะไรภายในห้องได้  แสงนั้นมันมาจากนาฬิกาของเขานั่นเองที่ช่วยชีวิต ทำให้เขารู้ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่บอกเวลาและใส่เพื่อเท่ห์อวดเพื่อนเท่านั้น   
    เมื่อข้าศึกได้หนีหายไปกันจนหมดแล้ว  เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความสบายท้องและโล่งพุงเป็นที่สุด  ยังดีที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดวาล์วน้ำด้วยมิเช่นนั้นเอมคงตายแน่ๆเพราะไม่รู้ว่าจะเอาน้ำที่ไหนมาล้าง กระดาษชำระก็ไม่มี 
    วินาทีแห่งความสุขได้มาถึงเสียที  เอมลุกขึ้นดึงกางเกงขาสั้นให้เข้าที่เข้าทางจนเรียบร้อย แล้วเขาก็ราดน้ำขจัดศัตรูตัวร้ายเหล่านั้นไป 
ปุด......ปุด.....ปุด  “อุ๊ย  มันมาอีกแล้ว”  เขาอุทานพร้อมจัดแจงกางเกงของตนเองให้เข้าที่พร้อม  ลงนั่งยองๆคร่อมคอห่านเตรียมเข้าประจำการเมื่อกองทัพศัตรูได้เรียกกองหนุนมาช่วยศึก  ดูท่าทางสงครามครั้งนี้คงกินเวลาอีกยาวนาน  เฉกเช่นกับการสร้างกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างภายในหนึ่งวัน   
    ไอ้เรื่องเขาจะออกจากโรงยิมไปยังไง  ตอนนี้เอมไม่ได้คิดถึงเลย เขาคิดถึงแต่กองทัพศัตรูตรงหน้าที่พรั่งพรูมาอย่างไม่ขาดสาย  กำลังพลของข้าศึกครั้งนี้ร่างบอบบางกว่าครั้งก่อนแต่มาพร้อมกับปีศาจสายลม  ปุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆปู๊ด ๆๆๆๆๆป๊าดดๆๆๆๆ  แปร๋น(เอ่อ คือว่าเสียงนี้ไม่เกี่ยวนี่มันเสียงช้างร้อง  ต้องขอโทษผู้อ่านด้วยพอดีพิมพ์เพลินไปหน่อย)  กลับมาที่เอมกันต่อ  เมื่อในหัวสมองของเขามีแต่เรื่องของการกำจัดศัตรูที่มาพร้อมกับกลิ่นหึ่งๆ  ซึ่งได้แตกกระจายฟุ้งไปทั่วทั้งห้องเป็นละอองปรมาณูที่มีพิษต่อรูจมูก  ถ้าใครเผลอได้ดมเข้าไปมีอันต้องเข้าห้องฉุกเฉินผ่าตัดปอดและระบบทางเดินหายใจเป็นแน่    ทว่ากับตัวของเขาเองการสู้รบมักจะเหน็ดเหนื่อย ไหนจะเบ่งไหนจะกลั้น อากาศและลมหายใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เอมต้องสูดเข้าลึกๆเพื่อเรียกกำลังของตน  ก็อย่างว่านี่มันของของเขาเองนี่(และก็ไม่หวงของด้วย)  มันจะเหม็นไปได้อย่างไร
    ฝนยังคงตกหนักอยู่อย่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  ภายนอกมีเสียงฟ้าร้องและเม็ดฝนตกลงมา และภายในห้องน้ำมีเสียงผายลมและ จุด จุด จุด  ที่กระหน่ำตกลงคอห่านอย่างหนักหน่วงเช่นกัน จนกระสุนปืนใหญ่บางลูกก็แตกกระจายเป็นสะเก็ดกระเด็น  สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง 
    ขณะนั้นเองที่อยู่ดีๆจิตใจของเขาก็ดันคิดถึงเรื่องผีขึ้นมาซะได้ เพราะเวลาอยู่ในความมืดจะนึกถึงเรื่องอะไรได้นอกจากเรื่องผี ยิ่งเป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยมันยิ่งเป็นใจให้คิดเข้าไปใหญ่  ครั้นจะลืมและนึกไปถึงเรื่องอื่นซะมันก็ไม่ได้  วันนี้ช่างเป็นวันที่โหดร้ายกับเขาเสียเหลือเกิน เมื่อนึกอะไรก็ได้อย่างนั้นทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ
“ช่วยด้วย.
.ช่วยด้วย
..”  เสียงร้องโหยหวนดังแผ่วๆมาจากไหนซักแห่งในห้องน้ำ  เพราะน้ำเสียงนั้นบางเบาและซ่านิดๆเสียจนแทบจับไม่ได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยซ้ำบวกกับเสียงของฝนยิ่งทำให้ยากไปกันใหญ่  แต่ทว่าเขาก็ได้ยิน
      ท่ามกลางแสงสีเขียวของนาฬิกา  ใบหน้าของเอมกำลังส่ายไปส่ายมาอย่างตกใจ ดวงตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังกลัวสุดขีด  แรงเฮือกสุดท้ายของเขาจึงทุ่มลงไปที่การปิดหลุมดำกลั้นศัตรูไว้ซึ่งก็ได้ผลชะงักงัน  “ทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ตอนท้องเสียว่ะเนี่ย”  เขาพูดเบากลัวว่าผีจะได้ยินว่าอยู่ในห้องส้วมห้องนี้  โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนไหนเลยเพราะไม่กล้าขยับตัวกลัวเกิดเสียง 
    เหงื่อผุดแล้วผุดอีก จนเสื้อของเขาเปียกไปหมดแล้ว ท่ามกลางความอับชื้นและกลิ่นหึ่งๆ  เขาพยายามกลั้นหายใจเพราะรู้ตัวดีว่าเขาต้องหายใจแรงเพราะตื่นเต้นเป็นแน่  และการหายใจแรงจะทำให้เกิดเสียง  จนตอนนี้ถ้าไม่นับรวมเสียงฝนแล้วละก็ มันเงียบสุดขีด ขนาดยุงบินเขายังได้ยินเสียงดังหวี่  โอ้....เจ้ายุงตัวนั้นก็บินมาเกาะแก้มก้นของเอมพร้อมจิ้มดูดเลือด  สร้างความเคืองคันเป็นยิ่งแท้แต่เดี๋ยวก่อนมันมิใช่ตัวเดียวมันยังมีอีกสองตัวบินมา ตัวหนึ่งบินไปเกาะช่วยตัวแรกที่แก้มก้นอีกฝั่ง  ส่วนอีกตัวบินมาเกาะที่หน้าผากของเขาพวกมันเจาะแล้วดูดสร้างความคันเป็นทวีคูณ แต่จะทำเช่นไรได้ล่ะ  ถ้าเคลื่อนไหวจะเกิดเสียงเขาจึงต้องอดทนยอมให้มันดูดเลือดไปอย่างสบายๆ 
    เอมนั่งท่าเดิมอยู่นิ่งๆเพื่อฟังเสียง ช่วยด้วย ที่เขาได้ยินเมื่อครู่ ในใจก็คิดหวาดกลัวเป็นที่สุด  กางเกงก็ยังคงคาอยู่ที่หัวเข่าทำให้ขารู้สึกแน่นไปหมด จนรู้สึกเหน็บชา  ขาอ่อนแรงเต็มทน
“ช่วยด้วย......ช่วยด้วย.....”    แล้วเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาได้ยินเต็มๆสองรูหู  ทันทีนั้นขนก็ลุกซู่ไปทั้งตัว หนังศีรษะตึงรู้สึกเหมือนเส้นผมพากันตั้งชี้ แย่งกันกระโดดไปทั้งหัว
“จะทำยังไงดี  จะยังไงดีว่ะเนี่ย” เขาคิดในใจอย่างวิตก    ทีแรกก็คิดจะสวดมนต์ในใจแต่ก็ไม่เคยเห็นว่าใครบอกจะได้ผลซักกะคน  หรือว่าแกล้งทำเป็นตายดีก็ไม่ได้อีก  ทางเดียวและทางที่ดีสุดก็คือต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เขาคิดถึงประตูห้องส้วมและจากนั้นก็ประตูห้องน้ำ วิ่งให้เร็วที่สุดด้วยพละกำลังของนักกีฬา มุ่งตรงไปที่ประตู ไม่ใช่ซิ!! มันปิดไปแล้วต้องหาหน้าต่าง  เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีหน้าต่างอยู่ใกล้ๆกับประตูโรงยิมแต่ต้องปีน  ถ้าออกไปได้เขาก็จะรอดจากคืนนี้แน่นอน  เขามั่นใจ
    หลังจากนั่งวางแผนอยู่เงียบๆไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ แถมยังหายใจขาดๆเกินๆอย่างเบาๆ  เสียงร้องขอให้ช่วยก็ดังขึ้นอีกครั้ง  รู้สึกว่ามันดังอยู่ที่หน้าห้องส้วมของเขานี่เองทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเหมือนกับว่ามันจะกระเด็นออกมาจากอกให้ได้ ตุบๆ  ตุบๆ  ตุบๆ 
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”  เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนเหลือเกินเป็นเสียงของผู้หญิงแก่ที่ร้องให้ช่วยอย่างเจ็บปวด   
    เอมทนไม่ไหวแล้วกับความกลัวและความกดดันครั้งนี้  ชีวิตสำคัญกว่าใดๆต้องพาตัวเองออกไปจากที่นี่ตามที่คิดไว้ให้ได้  ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงกางเกงขึ้นมา  ขาข้างซ้ายลื่นสะดุดพรวดนิดหน่อยด้วยความลื่นแต่ก็ไม่สำคัญ  เอมผลักประตูออกไปโดยไม่มองอะไรยิ่งมืดอยู่แล้วเขายิ่งกลัว  ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว  แสงสีเขียวจากนาฬิกาส่องเรืองๆพอให้เห็นเขาวิ่งออกจากประตูห้องน้ำไปด้วยความเร็วที่เจ้าของสถิติโลกยังหวั่นว่าจะถูกทำลาย  เขาวิ่งก้าวเท้าสับขาอย่างรวดเร็วปานหนังการ์ตูนที่เท้าไม่ติดพื้นวิ่งผ่านตัดข้ามสนามบาสโรงยิมเพื่อมุ่งสู่หน้าต่างที่อยู่ใกล้ประตูทางออกที่ปิดไปแล้ว  เขาโจนทะยานดั่งกวางหนุ่มที่วิ่งสุดชิวิตเพื่อหนีเสือชีตร้าหิวโหยเหมือนที่เคยดูสารคดีชีวิตสัตว์ป่าในแอฟริกา  และแล้วเขาก็ทำได้สำเร็จเมื่อได้ปีนขึ้นไปยังหน้าต่างบานนั้นแล้วกระโดดออกมาอย่างผู้ชนะ  แม้ตอนปีนออกจะยากลำบากมากซักหน่อย
    เอมรู้สึกดีใจจนรู้สึกว่าโลกนี้สดใสเหลือเกินทั้งที่ท้องฟ้ามืดมิดและฝนก็ตก  แต่จะมีอะไรดีกว่าที่รู้ว่าตนเองปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายที่เกือบจะกลืนกินเขา   
    วินาทีเดียวกันแสงไฟภายในโรงยิมก็สว่างขึ้น  เอมหันกลับไปมองอย่างหวั่นๆเขาก็พบว่า..........ประตูมันยังเปิดอยู่  เอ่อ.. แล้วเขาจะปีนออกหน้าต่างมาทำไมเนี่ย
“ไอ้เอม!!!” เสียงของพวกเพื่อนๆของเขาเรียกดังขึ้น ทุกคนยืนอยู่หน้าประตู  เอมสังเกตเพื่อนคนหนึ่งถือของของเขาซึ่งก็คือกระเป๋าเป้ที่เขาลืมนึกถึงไปแล้วตั้งแต่ปวดท้อง  แต่อีกคนนี่ซิน่าสงสัยคือเจ้าหน้าที่ของโรงยิมก็ยืนอยู่ด้วยพร้อมกับสีหน้าตะลึงงัน
และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เอมและเพื่อนของเขาทุกคนที่เล่นบาสด้วยกันในวันนั้นไม่เคยกลับไปเช่าโรงยิมนี้อีกเลย    เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่สยดสยองที่สุดที่พวกเขาเคยเผชิญมารวมไปถึงเจ้าของและเจ้าหน้าที่ของโรงยิมที่ไมเคยเจอเหตุแบบนี้เช่นกัน
.....เรื่องนี้มันสยองนัก.....
เอ๊ะ!  แล้วทำไมมันถึงสยอง เรื่องนี้มีคำตอบ
    ในคืนนั้นหลังจากที่เอมได้เห็นว่าเพื่อนๆยืนอยู่หน้าประตูโรงยิมที่เปิดไฟสว่างจ้า  เอมก็รีบวิ่งไปหาแต่เพื่อนๆกลับถอยหนีกันหมด ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจแต่พอวิ่งเข้าไปในโรงยิมอีกครั้งเพื่อจะบอกว่ามันเกิดเรื่องอะไรกับเพื่อน  เขาก็พบความจริง 
    บนพื้นสนามของโรงยิม  กลุ่มเพื่อนของเขากำลังหัวเราะกันอย่างน้ำหูน้ำตาไหล  เอมมองไปกลางพื้นสนามเขาเห็นบางสิ่งไปทอดยาวและตัดผ่านข้ามสนามเป็นลายแทง ทิศทางมันมาจากอีกฟากนั่นคือห้องน้ำ ทันใดนั้นเอมก็รู้สึกตัว เขาก้มลงมองรองเท้าของตนเองก็พบว่า รองเท้าบาสเกตบอลสีขาวคู่งามของเขาตอนนี้ มันกลายเป็นสีเหลืองอร่ามไปข้างหนึ่งนั่นก็คือข้างซ้าย  จึงนึกไปถึงตอนที่ลุกขึ้นจะวิ่งออกมาจากห้องส้วมที่ขาซ้ายเขาลื่นลงคอห่านแต่ด้วยรองเท้าที่หนาใหญ่จึงทำให้เขาไม่รู้ตัวว่ามันได้หย่อนลงไปจุ่มเต็มๆ  พอเขานึกถึงตรงนั้นก็ทำให้คิดได้อีกอย่างนั่นก็คือเขายังไม่ได้ล้างก้นหรือราดส้วม  ซึ่งตอนนี้หลักฐานมันก็ได้โผล่ออกมาทางต้นขาที่สิ่งค้างคามันได้ไหลตกลงมายังต้นขาอ่อนของเขาให้เห็นอยู่ตรงขอบกางเกงกีฬาขาสั้นว่ามันเหลืองดีแท้  ตามขาแข้งก็เต็มไปด้วยสะเก็ดของมันอีกต่างหาก   
    เพื่อนๆของเขายังคงส่งเสียงหัวเราะชอบใจกันสุดขีด  ขณะที่แต่ละคนมองไปยังจุดสำคัญ  เอมได้เห็นว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่น่ากระทำลงไปซะแล้วนั่นก็คือ ผนังตรงหน้าต่างมีรอยเปื้อนสีเหลืองเป็นรูปพื้นรองเท้าข้างซ้ายอยู่ ดูรู้ว่ากำลังปีนอย่างสะเปะสะปะมันปาดไปปาดมาเพราะเอาเท้าซ้ายยัน  มันเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่น่าสยดสยองเสียนี่กระไร  รวมไปถึงลายแทงสีเหลืองที่ผ่านสนามโรงยิมส่งกลิ่นหึ่งๆ  เข้าไปยังห้องน้ำและต้นตอคือคอห่านห้องส้วม
   
    ด้วยรอยเหล่านั้นทำให้เจ้าหน้าที่ ที่ยืนอยู่ด้วยถึงกับต้องตาค้าง  อนาคตการงานของเขาต้องตกอยู่ในความเสี่ยงทันทีทันใด
    เสียงหัวเราะของเพื่อนๆได้เงียบลงเมื่อเจ้าหน้าที่โรงยิมได้หันมามองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะขำด้วยคน
“แล้วทีนี้ใครจะรับผิดชอบ”  เจ้าหน้าที่ถามเสียงเข้ม
    จากเสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงบ่นพึมพำในขณะที่แต่ละคนต้องมาช่วยเอม เช็ดคราบของเสียที่เป็นทางยาว  ซึ่งมันช่วยไม่ได้เพราะเพื่อนๆของเขาเองเป็นคนกลั่นแกล้ง
    ย้อนไปเมื่อตอนที่กำลังจะกลับกัน  เพื่อนคนหนึ่งก็เห็นว่าสัมภาระของเอมยังวางอยู่ถึงได้รู้ว่าหนีไปเข้าห้องน้ำ  พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาจะปิดโรงยิม  แต่เพื่อนก็บอกไว้ว่าเอมอยู่ในห้องน้ำ  เจ้าหน้าที่โรงยิมจึงรอพอดีกับที่เพื่อนๆก็คิดพิเรนนึกอยากแกล้งเพื่อน    เพื่อนคนหนึ่งเตรียมโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่โหลดเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงผีร้องโหยหวนว่า “ช่วยด้วย  ช่วยด้วย ช่วยรับโทรศัพท์ด้วยรอนานแล้ว”  แต่ตอนที่แกล้งก็กดถึงแค่คำว่าช่วยด้วยสองครั้งเท่านั้น      ส่วนเพื่อนคนหนึ่งทำหน้าที่ปิดไฟแล้วทุกคนก็ย่องเงียบไปในห้องน้ำ และเปิดเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์  จนเรื่องราวทุกอย่างจบลงที่รอยคราบเหลืองอ๋อย ส่งกลิ่น   
    คืนนั้นทุกคนต่างพากันอ้วกแตกอ้วกแตน ยกเว้นเอมที่เป็นเจ้าของวัตถุสีเหลืองหม่น  และเรื่องนี้จึงต้องถูกปิดตายเป็นความลับไปอีกนานเท่านานด้วยการขอร้องจากเอม  เป็นใครใครก็อายอยากจะมุดแผ่นดินหนี  มันจึงเป็นตำนานสยองขวัญที่ถูกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ 
    แต่คิดเหรอว่าเรื่องมันจะไม่ถูกเล่าไปถึงหูคนอื่น ก็มันตลกและขยะแขยงออกขนาดนี้  เพื่อนแต่ละคนไม่เล่าต่อๆกันไปก็ไม่ไหวแล้วนะ  ฮ่าๆๆๆๆ    ใครจะอดใจได้เนอะ...
..........จบ..........
ยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องให้ได้อ่านกันอีก เพียงพิมพ์คำว่า
เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียนเท่านั้น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น